สเปคมือถือปี 2023 ต้องรู้อะไรบ้าง วันนี้พี่เอไอจะมาอธิบายสเปคมือถือคืออะไรแบบชาวบ้านๆ ไม่เจาะลึกพูดมาก ใช้ได้ทุกยี่ห้อ เหมือนเล่าให้เพื่อนฟังก่อนไปซื้อมือถือสักเครื่อง ควรต้องรู้สักนิดนึงก็ยังดี ไปหน้าร้านให้พนักงานอธิบายให้ฟังบางทีพูดไปไกลลงทะเลเพื่อจะขายสินค้านั้น พูดไปเรื่อยก็มี อ่านบทความนี้จบรู้เรื่องสเปคเลย
{getToc} $title={ทางลัดดูหัวข้อสเปค} $count={false}
1.2 ความละเอียดหน้าจอ :
- ความละเอียด HD+ เป็นความละเอียดปานกลาง ส่วนมากมือถือราคาประหยัดจะใช้ความละเอียดนี้ เพราะประหยัดแบตกับลดต้นทุนและชนิดหน้าจอจะเป็นแบบ LCD IPS ก็มี ข้อดีอย่างคือจอไม่ทับซ้อนถ้าใช้ในระยะยาว แต่ขอบจอมันจะมืดๆ หน่อย ถ้าเปิดพื้นหลังสีขาวครับ
- ความละเอียด FHD+ เป็นความละเอียดมาตรฐานทั่วไป มือถือระดับกลางหรือตัวท็อปก็ยังใช้ความละเอียดนี้อยู่นะครับ เพราะมันคือความละเอียดที่ใช้ได้ในระดับนึง ประหยัดแบตและชนิดหน้าจอก็มีทั้ง IPS และ AMOLED
- ความละเอียด 2K / QHD+ จะอยู่ในมือถือระดับตัวท็อป เหมือนเป็นการเสริมสเปคเข้าไปเพราะเป็นตัวท็อป ทำให้ดูมีสเปคอลังการ แต่ในความเป็นจริงการใช้งานแทบไม่ต่างกับ FHD+ เลย ต้องตั้งใจเพ่งเล็งจริงๆ ข้อดีคือ มีจอสเปคดีสุด คมชัด สีสันสวยมาก ใช้ก็ดีไม่ใช้ก็ได้เพราะในเมนูจะมีการปรับลดความละเอียดลงมาที่ FHD+ ได้ ข้อเสียคือกินแบต จะมีบนขนิดหน้าจอ AMOLED
1.3 ค่า Refresh rate หน้าจอ พูดง่ายคือเวลาใช้งานปัดหน้าจอมันจะไหลลื่น ดูสมูทตาดี มือถือส่วนมากสมัยนี้จะมีค่านี้ 90Hz ขึ้นแล้ว ทั้งนี้ทั้งนั้นขึ้นอยู่กับคุณภาพจอและชิปประมวลผลด้วย ไม่ใช่ว่า 90Hz แล้วจะลื่นไหลไปทุกแอปทุกหน้าจอ
1.4 ค่า Touch samplig rate หน้าจอ พูดง่ายๆคือ เวลากดจอแล้วติดมือ จะมีผลมากสำหรับการเล่นเกมส์ แต่ใช้งานทั่วไป ไม่ต้องดูค่านี้ก็ได้
2.1 Snapdragon เจ้านี้ได้รับความนิยมสูงสุดสมัยแรกๆจนถึงตอนนี้บนมือถือ Android มีหลายระดับตามตัวเลขของรุ่นเช่น 4 / 6 / 7 / 8 ราคามือถือก็จะสูงนิดหน่อยแต่ก็คุ้มที่จะซื้อใช้งานครับ
2.2 MediaTek ค่ายนี้ตอนนี้ได้รับความนิยมบน Android เลย เพราะใช้กับมือถือราคาถูกแต่ประสิทธิภาพระดับดี ข้อดีชิปค่ายนี้รับสัญญาณเครือข่ายโทรศัทพ์ อินเตอร์เน็ตเสถียรดี ประหยัดพลังงาน รุ่นนี้เริ่มต้นชื่อว่า Helio และรุ่นที่ประสิทธิภาพสูงจะใช้ชื่อว่า Dimensity
2.3 Unisoc ชิปน้องใหม่หลังจากช่วงที่โควิดระบาด การผลิตชิปคลาดแคลน เจ้านี้ก็โผล่มาเป็นชิประดับล่างใช้กับมือถือรุ่นเริ่มต้น มือถือราคาถูกทั่วไป
2.4 Apple Bionic ชิประดับพระเจ้าของ Apple ใช้กับ Apple Device เช่น iPhone iPad Macbook เล่นเกมส์ดี แต่ก็ร้อนอยู่เหมือนกันครับ
{inAds}
กล้องหลัก : คือกล้องที่เอาไว้ถ่ายรูปทั่วไปจะมีความละเอียดสูง ใช้บ่อย ระยะใช้งานปกติ ภาพไม่บิดเบี้ยวตัวเลขเยอะไม่ได้การันตีว่ากล้องดี แนะนำให้ดูรีวิวกล้องของรุ่นนั้นๆก่อนครับ
กล้องอัลตร้าไวด์ : กล้องไว้สำหรับถ่ายรูปวิวหรือถ่ายรูปมุมกว้างที่แคบๆ จะได้เก็บรายละเอียดเยอะ ถ้าถ่ายวิว ภาพจะออกมาสวยเห็นวิวและรูปภาพจะได้มุมกว้าง แต่ข้อเสียคือถ้าถ่ายคนใกล้ๆ จะทำให้ตัวยาวคอยืด แนะนำให้คนอยู่ตรงกลางรูปครับ
กล้องวัดระยะชัดตื้น : กล้องนี้จะมีช่วยในเรื่องถ่ายบุคคลให้ฉากหลังเบลอดูสวย ความละเอียดจะไม่มากนัก เพราะเหมือนเป็นกล้องเสริมเสียมากกว่า
กล้องมาโคร : กล้องนี้เอาไว้ถ่ายจ่อวัถตุเล็กๆ เช่น ถ่ายมด ถ่ายพระเครื่อง ถ่ายรูปที่ต้องการรายละเอียดชัดๆ ในระยะใกล้
5.1 การเชื่อมต่อ 3G / 4G (LTE) / 5G สมัยนี้รองรับถึง 5G แล้ว ความเร็วในการรับส่งข้อมูลแล้วแต่พื้นที่ มือถือราคาถูกไม่เกิน 5,000 บาทก็รองรับ 5G แล้วครับ แต่ถ้าคิดว่าไม่จำเป็นต้องใช้ 5G มือถือรองรับ 4G ก็ถือว่าใช้ได้อยู่ครับ
5.2 การเชื่อมต่อ Wi-Fi และ Bluetooth จะมีให้ทุกเครื่องเป็นพื้นฐานการเชื่อมต่อ ในส่วนของWi-Fi นั้นจะมีความถี่ 2.4GHz และ 5GHz โดยส่วนมากจะใช้ 2.4Ghz เพราะสามารถรับสัญญานได้ไกลกว่า แต่ถ้าใช้ในบ้านและต้องการโอนข้อมูลเยอะๆ ให้เลือก 5GHz ครับ มือถือบางรุ่นจะให้มาแค่ 2.4GHz ไม่ต้องซีเรียสครับ ถือว่ามี Wi-Fi ใช้ได้นั้นเอง ส่วน Bluetooth เอาไว้ต่อกับลำโพงหรือสมาร์ทวอชทั่วไป ความแตกต่างของเวอร์ชั่นแต่ละรุ่น จะเกี่ยวกับการเชื่อมต่อที่เสถียรมากขึ้น ใช้พลังงานน้อยลง รองรับการเชื่อมต่อหลายเครื่องพร้อมกัน
ความจุแบตเตอรี่ส่วนมากจะ 4000mAh ขึ้นไปแล้วครับและมาตรฐานตอนนี้ก็ 5000mAh ยิ่งเลขเยอะเท่าไหร่การใช้งานก็ยาวนานมากขึ้น ข้อเสียคือถ้าตัวเครื่องรองรับการชาร์จน้อยกว่า 20W ลงมาก็จะต้องใช้เวลาในการชาร์จนานหน่อยครับ ความเร็วในการชาร์จใช้หน่วยเป็น Watt ตัวเลขยิ่งมากยิ่งชาร์จไว แต่เครื่องจะมีความร้อนสะสม ชาร์จในบ้านหรือที่ร่มๆ ไม่ควรโดนแดดหรือความร้อนครับ
สเปคดังกล่าวที่บอกมาคือเป็นพื้นฐานที่สมาร์ทโฟนทั่วไปจะมีมาให้ ถ้าจะลงรายละเอียดคงต้องเขียนเยอะมากๆ ครับ 555 อันนี้แค่เป็นย่อๆ อ่านพอเข้าใจได้ง่ายครับ
1. หน้าจอ (Display)
1.1 ขนาดหน้าจอ : ขนาดแล้วแต่ความชอบส่วนมากปีนี้จะมากกว่า 6 นิ้วขึ้นไปแล้วสำหรับสมาร์ทโฟนแต่ถ้าเป็นมือถือปุ่มกดหรือฟีเจอร์โฟนธรรมดาอันนี้ยังจอเล็กอยู่- ความละเอียด HD+ เป็นความละเอียดปานกลาง ส่วนมากมือถือราคาประหยัดจะใช้ความละเอียดนี้ เพราะประหยัดแบตกับลดต้นทุนและชนิดหน้าจอจะเป็นแบบ LCD IPS ก็มี ข้อดีอย่างคือจอไม่ทับซ้อนถ้าใช้ในระยะยาว แต่ขอบจอมันจะมืดๆ หน่อย ถ้าเปิดพื้นหลังสีขาวครับ
- ความละเอียด FHD+ เป็นความละเอียดมาตรฐานทั่วไป มือถือระดับกลางหรือตัวท็อปก็ยังใช้ความละเอียดนี้อยู่นะครับ เพราะมันคือความละเอียดที่ใช้ได้ในระดับนึง ประหยัดแบตและชนิดหน้าจอก็มีทั้ง IPS และ AMOLED
- ความละเอียด 2K / QHD+ จะอยู่ในมือถือระดับตัวท็อป เหมือนเป็นการเสริมสเปคเข้าไปเพราะเป็นตัวท็อป ทำให้ดูมีสเปคอลังการ แต่ในความเป็นจริงการใช้งานแทบไม่ต่างกับ FHD+ เลย ต้องตั้งใจเพ่งเล็งจริงๆ ข้อดีคือ มีจอสเปคดีสุด คมชัด สีสันสวยมาก ใช้ก็ดีไม่ใช้ก็ได้เพราะในเมนูจะมีการปรับลดความละเอียดลงมาที่ FHD+ ได้ ข้อเสียคือกินแบต จะมีบนขนิดหน้าจอ AMOLED
1.3 ค่า Refresh rate หน้าจอ พูดง่ายคือเวลาใช้งานปัดหน้าจอมันจะไหลลื่น ดูสมูทตาดี มือถือส่วนมากสมัยนี้จะมีค่านี้ 90Hz ขึ้นแล้ว ทั้งนี้ทั้งนั้นขึ้นอยู่กับคุณภาพจอและชิปประมวลผลด้วย ไม่ใช่ว่า 90Hz แล้วจะลื่นไหลไปทุกแอปทุกหน้าจอ
1.4 ค่า Touch samplig rate หน้าจอ พูดง่ายๆคือ เวลากดจอแล้วติดมือ จะมีผลมากสำหรับการเล่นเกมส์ แต่ใช้งานทั่วไป ไม่ต้องดูค่านี้ก็ได้
2. ชิปเซ็ต (Chipset)
2.1 Snapdragon เจ้านี้ได้รับความนิยมสูงสุดสมัยแรกๆจนถึงตอนนี้บนมือถือ Android มีหลายระดับตามตัวเลขของรุ่นเช่น 4 / 6 / 7 / 8 ราคามือถือก็จะสูงนิดหน่อยแต่ก็คุ้มที่จะซื้อใช้งานครับ
2.2 MediaTek ค่ายนี้ตอนนี้ได้รับความนิยมบน Android เลย เพราะใช้กับมือถือราคาถูกแต่ประสิทธิภาพระดับดี ข้อดีชิปค่ายนี้รับสัญญาณเครือข่ายโทรศัทพ์ อินเตอร์เน็ตเสถียรดี ประหยัดพลังงาน รุ่นนี้เริ่มต้นชื่อว่า Helio และรุ่นที่ประสิทธิภาพสูงจะใช้ชื่อว่า Dimensity
2.3 Unisoc ชิปน้องใหม่หลังจากช่วงที่โควิดระบาด การผลิตชิปคลาดแคลน เจ้านี้ก็โผล่มาเป็นชิประดับล่างใช้กับมือถือรุ่นเริ่มต้น มือถือราคาถูกทั่วไป
2.4 Apple Bionic ชิประดับพระเจ้าของ Apple ใช้กับ Apple Device เช่น iPhone iPad Macbook เล่นเกมส์ดี แต่ก็ร้อนอยู่เหมือนกันครับ
3. แรมและความจุ (Ram & Rom)
3.1 ปัจจุบันมีเริ่มต้น 2GB มากสุดถึง 32GB ถ้าดูตามตัวเลข ตัวเลขเยอะก็ดีกว่าแน่นอน ถ้าใช้ไม่ถึงก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าแนะนำเอาไว้ใช้เล่น Facebook / Line แบบไม่หงุดหงิดเลือก 4GB ขึ้นไปครับ 2GB เอาไว้โทรเข้าโทรออกจะดีกว่า
3.2 ความจุหรือเมมภายในของโทรศัพท์ ส่วนมากจะ 32GB ขึ้นหมดละ แต่จะมีระดับความไวในการอ่านเขียนตรงนี้ถือว่าสำคัญมากเปรียบเทียบง่ายๆ เริ่มจาก
- ความจุแบบ eMCC5.1 อันนี้อ่านข้อมูลช้า อยู่ในกลุ่มมือถือเน้นโทรเข้าโทรออก ดูรูปในเครื่อง เล่น Social ไหวอยู่แต่เปิดแอปก็รอหน่อย
- ความจุแบบ UFS2.1 - 2.2 ตัวนี้นิยมสูงสุดในกลุ่มมือถือระดับล่างหรือกลาง อ่านเร็วในระดับปานกลางปัจจุบันก็ยังใช้ได้ดี ไม่ได้อ่านช้าหรือตอบสนองช้าแต่อย่างได ถ้าแนะนำควรเลือกความจุแบบนี้ขึ้นไปครับ
- ความจุแบบ UFS3.0 - 3.1 ถ้าเป็นปีก่อนๆ จะใช้ในมือถือระดับกลางและระดับท็อป ข้อมูลจะอ่านเร็วมากกว่า UFS2.0 ประมาณเท่าตัว ราคามือถือที่ใช้ความจุนี้ก็จะมีราคาขึ้นมาหน่อย ตอนนี้แบบ UFS3.0 จะเริ่มเป็นมาตรฐานแล้วครับ เพราะตัวนี้ใช้มายาวนานมาก
- ความจุแบบ UFS4.0 รุ่นใหม่ล่าสุด มีใช้กับมือถือรุ่นท็อปของปี 2023 การอ่านเขียนเร็วโคตรๆ แบบ 2 เท่าของ UFS3.0 เลยทีเดียว
3.2 ความจุหรือเมมภายในของโทรศัพท์ ส่วนมากจะ 32GB ขึ้นหมดละ แต่จะมีระดับความไวในการอ่านเขียนตรงนี้ถือว่าสำคัญมากเปรียบเทียบง่ายๆ เริ่มจาก
- ความจุแบบ eMCC5.1 อันนี้อ่านข้อมูลช้า อยู่ในกลุ่มมือถือเน้นโทรเข้าโทรออก ดูรูปในเครื่อง เล่น Social ไหวอยู่แต่เปิดแอปก็รอหน่อย
- ความจุแบบ UFS2.1 - 2.2 ตัวนี้นิยมสูงสุดในกลุ่มมือถือระดับล่างหรือกลาง อ่านเร็วในระดับปานกลางปัจจุบันก็ยังใช้ได้ดี ไม่ได้อ่านช้าหรือตอบสนองช้าแต่อย่างได ถ้าแนะนำควรเลือกความจุแบบนี้ขึ้นไปครับ
- ความจุแบบ UFS3.0 - 3.1 ถ้าเป็นปีก่อนๆ จะใช้ในมือถือระดับกลางและระดับท็อป ข้อมูลจะอ่านเร็วมากกว่า UFS2.0 ประมาณเท่าตัว ราคามือถือที่ใช้ความจุนี้ก็จะมีราคาขึ้นมาหน่อย ตอนนี้แบบ UFS3.0 จะเริ่มเป็นมาตรฐานแล้วครับ เพราะตัวนี้ใช้มายาวนานมาก
- ความจุแบบ UFS4.0 รุ่นใหม่ล่าสุด มีใช้กับมือถือรุ่นท็อปของปี 2023 การอ่านเขียนเร็วโคตรๆ แบบ 2 เท่าของ UFS3.0 เลยทีเดียว
{inAds}
4. กล้องถ่ายรูป (Camera)
กล้องหลัก : คือกล้องที่เอาไว้ถ่ายรูปทั่วไปจะมีความละเอียดสูง ใช้บ่อย ระยะใช้งานปกติ ภาพไม่บิดเบี้ยวตัวเลขเยอะไม่ได้การันตีว่ากล้องดี แนะนำให้ดูรีวิวกล้องของรุ่นนั้นๆก่อนครับ
กล้องอัลตร้าไวด์ : กล้องไว้สำหรับถ่ายรูปวิวหรือถ่ายรูปมุมกว้างที่แคบๆ จะได้เก็บรายละเอียดเยอะ ถ้าถ่ายวิว ภาพจะออกมาสวยเห็นวิวและรูปภาพจะได้มุมกว้าง แต่ข้อเสียคือถ้าถ่ายคนใกล้ๆ จะทำให้ตัวยาวคอยืด แนะนำให้คนอยู่ตรงกลางรูปครับ
กล้องวัดระยะชัดตื้น : กล้องนี้จะมีช่วยในเรื่องถ่ายบุคคลให้ฉากหลังเบลอดูสวย ความละเอียดจะไม่มากนัก เพราะเหมือนเป็นกล้องเสริมเสียมากกว่า
กล้องมาโคร : กล้องนี้เอาไว้ถ่ายจ่อวัถตุเล็กๆ เช่น ถ่ายมด ถ่ายพระเครื่อง ถ่ายรูปที่ต้องการรายละเอียดชัดๆ ในระยะใกล้
5. การเชื่อมต่อ (Network & Internet)
5.1 การเชื่อมต่อ 3G / 4G (LTE) / 5G สมัยนี้รองรับถึง 5G แล้ว ความเร็วในการรับส่งข้อมูลแล้วแต่พื้นที่ มือถือราคาถูกไม่เกิน 5,000 บาทก็รองรับ 5G แล้วครับ แต่ถ้าคิดว่าไม่จำเป็นต้องใช้ 5G มือถือรองรับ 4G ก็ถือว่าใช้ได้อยู่ครับ
5.2 การเชื่อมต่อ Wi-Fi และ Bluetooth จะมีให้ทุกเครื่องเป็นพื้นฐานการเชื่อมต่อ ในส่วนของWi-Fi นั้นจะมีความถี่ 2.4GHz และ 5GHz โดยส่วนมากจะใช้ 2.4Ghz เพราะสามารถรับสัญญานได้ไกลกว่า แต่ถ้าใช้ในบ้านและต้องการโอนข้อมูลเยอะๆ ให้เลือก 5GHz ครับ มือถือบางรุ่นจะให้มาแค่ 2.4GHz ไม่ต้องซีเรียสครับ ถือว่ามี Wi-Fi ใช้ได้นั้นเอง ส่วน Bluetooth เอาไว้ต่อกับลำโพงหรือสมาร์ทวอชทั่วไป ความแตกต่างของเวอร์ชั่นแต่ละรุ่น จะเกี่ยวกับการเชื่อมต่อที่เสถียรมากขึ้น ใช้พลังงานน้อยลง รองรับการเชื่อมต่อหลายเครื่องพร้อมกัน
6. แบตเตอรี่และการชาร์จไฟ (Battery & Charger)
ความจุแบตเตอรี่ส่วนมากจะ 4000mAh ขึ้นไปแล้วครับและมาตรฐานตอนนี้ก็ 5000mAh ยิ่งเลขเยอะเท่าไหร่การใช้งานก็ยาวนานมากขึ้น ข้อเสียคือถ้าตัวเครื่องรองรับการชาร์จน้อยกว่า 20W ลงมาก็จะต้องใช้เวลาในการชาร์จนานหน่อยครับ ความเร็วในการชาร์จใช้หน่วยเป็น Watt ตัวเลขยิ่งมากยิ่งชาร์จไว แต่เครื่องจะมีความร้อนสะสม ชาร์จในบ้านหรือที่ร่มๆ ไม่ควรโดนแดดหรือความร้อนครับ
สเปคดังกล่าวที่บอกมาคือเป็นพื้นฐานที่สมาร์ทโฟนทั่วไปจะมีมาให้ ถ้าจะลงรายละเอียดคงต้องเขียนเยอะมากๆ ครับ 555 อันนี้แค่เป็นย่อๆ อ่านพอเข้าใจได้ง่ายครับ
ที่มา : บทความและกราฟฟิคโดยพี่เอไอ